พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา ตอนที่ 4 : การหาวัตถุดิบ(หนังสือ อินเตอร์เน็ต คน และแรงบันดาลใจ)

ตอนที่ 4 : การหาวัตถุดิบ(หนังสือ อินเตอร์เน็ต คน และแรงบันดาลใจ)
เนื้อหาทั้งหมดนี้เรานำมาจากบทความของคุณ คนบ้านเดียวกัน บนเว็บ http://www.pantip.com
ลิงค์บทความ :    http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10586407/K10586407.html
ต้องขอขอบคุณคุณ "คนบ้านเดียวกัน" จริงๆที่นำบทความดีๆแบบนี้มาแบ่งปันค่ะ
     I just can't seem to take my attention way from Pantip and I found myself constantly checking for feedback and respondes to this thread. I m super happy that there are many people here showing interest in my appoaches to learning the English language.

     My English is not nearly as perfect as native speakers. I woud compare how I write and speak to average elementary school students in the U.S. I make grammatical mistakes here and here...and possibly all over the place. I m not a good role model for anyone who want to write impeccably well but i m certainy a good influence on how you can achieve the talking skill. You know why? Because I m just an English learner like you.

     In this episode, I will talk a little bit about my other approach in English first. Many of you may have doubts about my credibility and whether these methods are effective. So the first half of this will be in English. I was talking about writing skill and how it could be achieved through learning in the last episode. And by learning, you will have to make notes of what you have seen or heard that are unfamiliar to you.

     Before I go to bed every night, I would read a world history book which was meant for elementary school children and I would look up the words if I didnt know the definition. This book was written in a conversational tone so when I was reading about the history of England, it would be as if I was being talked to in a class room. I ve learnt how to speak in English in the history context. i can say who did what in what year witout having to complie a sentence in my head. Anyway, but that s another story that i m going to tell you next....."

     และในลำดับต่อมานี้น่ะครับ ผมจะขอเน้นสิ่งปฎิบัติขั้นพื้นฐานอันต่อไป ซึ่งเป็นสร้าง input ซึ่งแปลในภาษาชาวบ้าน นั้นก็คือ การหาวัตถุดิบ เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่ง output หรือผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายนั้นเอง ผมนำหลัการนี้มาจากเวปไซต์ www.antimoon.com ซึ่งเป็นชาว Polish สองคนที่เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองจนพูดได้เหมือนเจ้าของภาษาโดยที่ไม่ได้มีโอกาสไปเรียนเมืองนอก ทั้งสองได้เสนอแนะวิธีการเรียนภาษาที่ทั้งคู่ได้ผ่านมามากมาย แต่ผมจะเน้นไปที่เรื่อง ของการหาวัตถุดิบให้ตัวเรา ในเรื่องของการศึกษาการพูดภาษาอังกฤษ Input ในที่นี่ผมหมายถึงการ เรียนคำศัพท์ใหม่ๆ เรียนประโยคหรือสำนวนใหม่ๆในแต่ละวัน สิ่งหลักการนี้เป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนภาษาของทุกภาษาในโลกนี้เลยก็ว่าได้

     เอาหล่ะครับ เนื่องจากท่านผู้อ่านไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีการใช้ภาษาอังกฤษตลอดเวลา ดังนั้นการขนขวายให้หูเรา หรือตาเราได้เห็นภาษาอังกฤษเป็นประจำจึงสำคัญมาก เด็กฝรั่งจะมีพ่อแม่ พี่น้อง พูดภาษาอังกฤษใส่หู ตลอด 24 ชั่วโมงดังนั้น ท่านผู้อ่านจะต้องพึ่ง สิ่งเหล่านี้ 
อย่างแรก คือ หนังสือ(ฺBook) 
อย่างที่สอง คือ อินเตอรเน็ต(Internet) 
อย่างที่สาม คือผู้ที่เราจะหามาพูดภาษาอังกฤษด้วย(Man) 
และอย่างที่สี่ คือแรงบันดาลใจ(Inspiration)

     ผมขอสลับ นำแรงบันดาลใจขึ้นมาอันดับแรกน่ะครับ เพราะผมถือว่าเราจะไปไหนไม่ได้เลยในสิ่งที่เรามุ่งหวังหากเราไม่มีแรงบันดาลใจเป็นตัวกระตุ้น ทีนี่ ทำไปพร้อมๆ กับผมน่ะครับ แรงบันดาลในการเรียนภาษาอังกฤษคืออะไรครับ…..ห้ามตอบว่าอยากเก่งน่ะครับ….เพราะผมเชื่อว่าทุกคนอยากเก่งหมด

    ส่วนผม นั้นผมอยากพูดภาษาอังกฤษได้ตอนที่เห็น วีเจ ลูกครึ่ง หรือคนไทยสัมภาษณ์ฝรั่งเปร๋อออกรายการทีวี ผมเห็นแล้วประทับใจมาก เก่ง พวกเขาเหล่านี่พูดภาษาอังกฤษได้เพราะ และในสมัยที่ผมยังอายุ 15 เองแฟชั่น โรงเรียนนานาชาติเริ่มเข้ามามีบทบาทในสังคมมากขึ้น เริ่มเห็น นักเรียนนานาชาติในชุดนักเรียนไม่เหมือนโรงไทยอย่างผม แถมยังพูดภาษาอังกฤษใส่กัน…..บอกได้คำเดียวว่าตอนนั้นมองว่า เท่ห์มาก เก๋าสุดๆ อยากพูดได้….

     แรงบันดาลใจแรกยังไม่โดน จนกระทั่งผมได้มารู้จักกับเพื่อนคนหนึ่งโดยบังเอิญ เป็นลูกครึ่งไทย อเมริกัน ที่เกิดและเติบโตในเมืองไทย แต่เป็นน่าสังเกต เพราะ เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่กับแม่ ผู้ซึ่งเป็นคนไทย พูดอังกฤษไม่คล่อง ส่วนบิดาชาวอเมริกัน หย่ากับแม่ของเขาและได้แยกตัวออกไป เพื่อนผมคนนี้เรียนนานาชาติตั้งแต่เด็กๆ เรียนโรงเรียนนานาชาติที่มีแต่คนไทยทั้งนั้น เพื่อนฝรั่งไม่ค่อยมี ผมเลยสงสัยว่าทำไมภาษาอังกฤษเขาจึงดีกว่าภาษาไทย ทั้งๆที่ สิ่งแวดล้อมมีแต่คนไทย ภาษาไทยทั้งนั้น เว้น แต่ที่โรงเรียน ผมมาทราบทีหลังว่า เพื่อนผมเขาคิดว่าเขาเป็นอเมริกันมากกว่าที่จะเป็นคนไทย ( ผมกล่าวในแง่ของความคิดเท่านั้นมิได้มีเจตนาต่อต้านชาติใดๆทั้งสิ้น) เขาเลยเลือกที่จะพูดและปฎิบัติเหมือนกับชาวอเมริกันทั่วไป ทั้งๆที่อยู่เมืองไทยมาตั้งแต่เกิด

     เขาบอกผมว่าเรียนภาษาไทยยาก เขาเลยเลิกเรียน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถอ่านและเขียนได้จนถึงทุกวันนี้ และด้วยภาษาอังกฤษเป็นภาษาเดียวที่เขาสามารถพึ่งพาได้มากที่สุด ทำให้เพื่อนผมเปิดรับ และเข้าหาสิ่งที่เป็นภาษาอังกฤษมากกว่า ภาษาไทย เขาเริ่มพูดภาษาอังกฤษมากขึ้น ดูหนังฝรั่งแล้วจำคำพูดมาใช้ เริ่มมีเพื่อนในโรงเรียนที่พูดภาษาอังกฤษได้เหมือนกันเป็นกลุ่ม และใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันมากกว่าภาษาไทย จนทำให้ ภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาแม่ของเขาไปในทันที ( ย้ำว่าไม่ใช่ภาษาแรกน่ะครับ แต่เป็นภาษาแม่)

     อีกรายเป็นเพื่อนสนิทผมอีกคน เป็นชาวอินเดียที่ไม่เคยใช้ภาษาอังกฤษเลยจนอายุ ได้ 14 ปีจนครอบครัวย้ายมาเมืองไทย แล้วต้องเข้าโรงเรียนนานาชาติ ผมเคยสัมภาษณ์เพื่อนผม เพราะสงสัยมาตลอด ว่าทำไมภาษาอังฤษจึงกลายเป็นภาษาแม่ของเขา เขาบอกว่า แม่ของเขานั้นเริ่มพูดภาษาอังกฤษด้วยในบ้าน ผสมกับ ฮินดิ จนกระทั่งพูดอังกฤษล้วนๆ เพราะมีความจำเป็นที่จะต้องให้ลูกพูดอังฤษให้ได้ก่อนเข้าโรงเรียนนานาชาติ เพื่อนผมเริ่มพูดอังกฤษได้มากและค่อยๆ ลืมฮินดิไปตอน อยู่มอ ปลายที่โรงเรียนนานาชาติ

     เพื่อนผมเข้าตั้งแต่ ม.ต้นน่ะครับ แต่เนื่่องจากในโรงเรียนมีเด็กนักเรียนไทยเยอะมาก ทำให้เพื่อนผมอยู่กับกลุ่มที่พูดภาษาอังกฤษได้เท่านั้น เพราะเป็นภาษาเดียวที่สื่อสารกับคนอื่นๆได้ เพื่อนผมใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้นจนทำให้ภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาแม่ไปเลยภายในระยะเวลา 11 ปีที่มาอยู่เมืองไทย ผมเจอเพื่อนคนนี้ตอนเรียนมหาลัยแล้วครับ…..
กลับมาเรื่องแรงบันดาลใจ นี่แหละครับบุคคลทั้งสองคือแรงบันดาลใจของผม แล้วของท่านผู้อ่านหล่ะครับ?



เนื้อหาทั้งหมดของบทความ พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา
ตอนที่ 1 :    ให้ทุกคนคิดว่าตัวเองเป็นเด็กฝรั่งที่กำลังเริ่มหัดพูด หัดอ่าน หัดเขียน
ตอนที่ 2 :    อุปกรณ์และขั้นตอนในการเรียน(ด้วยตัวเอง)
ตอนที่ 3 :    การพูดอ่านและเขียนมีหลักการเดียวกัน 
ตอนที่ 4 :    การหาวัตถุดิบ(หนังสือ อินเตอร์เน็ต คน และแรงบันดาลใจ)
ตอนที่ 5 :    การหาวัตถุดิบ หรือ Input(2)
ตอนที่ 6 :    รู้จักการเลียนแบบน้ำเสียง แล้วนำไปใช้
ตอนที่ 7 :    สิ่งที่ควรรู้ในการเรียนภาษาอังกฤษ
ตอนที่ 8 :    มาต่อที่เรื่องของวัตถุดิบ หรือ Input(3)
ตอนที่ 9 :    ยังคงอยู่ที่เรื่องของวัตถุดิบ หรือ Input(4)
ตอนที่ 10 :  ประสบการณ์การทดลองส่วนตัวในการเรียนภาษาอังกฤษ



ติดตามตอนต่อไป คลิ๊กที่นี่ค่ะ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น