พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา ตอนที่ 8 : มาต่อที่เรื่องของวัตถุดิบ หรือ Input(3)

ตอนที่ 8 :    มาต่อที่เรื่องของวัตถุดิบ หรือ Input(3)
เนื้อหาทั้งหมดนี้เรานำมาจากบทความของคุณ คนบ้านเดียวกัน บนเว็บ www.pantip.com
ลิงค์บทความ :    http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10586407/K10586407.html
ต้องขอขอบคุณคุณ "คนบ้านเดียวกัน" จริงๆที่นำบทความดีๆแบบนี้มาแบ่งปันค่ะ

มาต่อที่เรื่องของ Input ต่อน่ะครับที่ผมยังกล่าวไม่จบจากครั้งก่อนๆ คราวนี้ นอกจากความสำคัญของการ ศึกษารูปประโยคและ การเลียนแบบการพูดการจา ของเจ้าของภาษาแล้วนั้น เรายังจะต้องมีการศึกษาหาความรู้ด้านวิชาการโดยใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมดเป็นสื่อการเรียนการรู้ครับ ท่านผู้อ่านสังเกตนะครับ เด็กไทยที่เรียนโรงเรียน นานาชาติย่อมได้ความสามารถทางภาษาอังกฤษที่รวดเร็วกว่า เด็กไทยที่เรียนโรงเรียนมาทั้งชีวิต แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านผู้อ่านหรือผมเองจะไม่มีวันทำได้อย่างผู้ที่เรียน ต่างประเทศหรือนานาชาติมาน่ะครับ ผมจะตั้งข้อสังเกตให้ท่านผู้อ่านดูสักสองสามตัวอย่างน่ะครับ

นาย A ทำงานกับฝรั่ง นานหลายปี ตั้งแต่พูดไม่เป็นสับปะรด จนสามารถพูดใช้สำนวนและคำศัพท์ได้ประหนึ่งเหมือนไปอยู่ต่างประเทศมาระยะสั้นๆ นาย A เล่าเรื่องราวต่างๆในชีวิตประจำวันได้ เล่าเหตุการณ์ หรือ จะโต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษทั่วไป ได้อยู่ในระดับดี ทีเดียว เหตุผลที่ นาย A ทำได้เพราะถึงแม้ว่านาย A จะไม่ได้อ่าน นิยายปรัมปราของเด็กๆที่ผมแนะนำ

แต่นาย A นั้นมีเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานต่างชาติพูดด้วยตลอด ภาษาอังกฤษที่นาย A พูด ฟังดูแล้วคล่องเพราะหู โดยเฉพาะการสื่อสาร เรื่องงานในออฟฟิศ เพราะนายมักจะสั่งให้ไป ซีร็อกเอกสาร นำเอกสารไปให้แผนก คนนั้นคนนี้ ชวนไปกินข้าว พูดเรื่องเงินเดือน เรื่องไปหยุดลาพักร้อน และแน่นอนภาษาอังกฤษที่นาย A ใช่จึงจะอยู่แต่ในกรอบของทักษะการพูดในบริบทของการทำงานในลักษณะแบบนี้เท่านั้น

แต่หากวันหนึ่งนาย A จะต้องอธิบายว่าเครื่องซีร็อกถึงพัง เพราะถาดรองกระดาษชั้นที่ 2 ของเครื่องแตกทำให้เศษของถาดเข้าไปติดในเครื่องข้างใน (เป็นตัวอย่างน่ะครับ) นาย A กลับพูดเป็นภาษาอังกฤษออกมาไม่ได้

หรือ หากท่านผู้อ่านเคยไปนั่งตามสถานที่เที่ยวที่มีชาวต่างชาติไปกันเยอะๆ ท่านอาจะประหลาดใจว่าคนไทยที่ทำงานที่นั่นหรือ คนไทยที่เป็นแฟนกับเจ้าของภาษา สามารถพูดภาษาอังกฤษในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่มีงูไม่มีปลาหลุดออกมา หรือ คนที่จะใช้ภาษาอังกฤษในการขายของ ก็จะคล่องแต่ภาษาอังกฤษในการขายของ เท่านั้น เหมือนผมหรือท่านผู้อ่านเช่นเดียวกัน หากผมทำงานในโรงพยาบาล แน่นอนน่ะครับ ที่ผมจะต้องสามารถใช้ภาษาไทยในเชิงการแพทย์ได้อย่างคล่องแคล่วเช่นเดียวกัน

ที่นี่วิธีต่อไปที่ผมจะแนะนำนั้น เป็นวิธีการอาศัยการเรียนทักษะทางภาษาอังกฤษผ่านทางการการศึกษาในระบบของโรงเรียนนั้นเอง ผมไม่ได้ให้ท่านผู้อ่านไปเรียนภาษาอังกฤษน่ะครับ แต่ให้ท่านผู้อ่าน เรียนวิชาเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น คณิตศาสตร์ วิทยาศาตร์ สังคม เป็นภาษาอังกฤษให้หมด การเรียนภาษาอังกฤษด้วยในแง่ของวิชาการ ก็เปรียบเสมือนได้กับ ท่านผู้เรียนเองนั้นได้มีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ เพียงแต่อาจจะไม่ได้มีเพื่อนผมสีทองมานั่งคุยด้วยเท่านั้น

แต่การเรียนรู้ในลักษณะนี้เป็นการเพิ่มทักษะในการสื่อสารในแง่ต่างๆของชีวิตให้มากขึ้นไปอีก หากท่านผู้อ่านสังเกต ดูว่าชีวิตในแต่ละวันของเรานั้น บทสนทนากับคน รอบข้างเรามักจะวนเวียนอยู่ไม่กี่เรื่อง

ไม่ว่าจะเป็นฝน ฟ้าอากาศ (เรียนรู้ได้จากวิชา Science) เรื่องการคิดทอนหรือแบ่งกันออกเงินเวลาไปกินข้าวกับเพื่อนที่ร้านอาหาร (วิชา Math ท่านผู้อ่านอยากรู้ว่า บวก ลบ คูณ หารนั้นเขาพูดเป็นภาษาอังกฤษกันอย่างไร เดี๋ยวผมจะแนะนำลิ้งค์ให้น่ะครับ) หรือตอนนี้เรื่องการเมือง การสังคมกำลังมาแรงเนื่องจากเราเองก็กำลังจะมีการเลือกตั้งในเดือน กรกฎาคม (อันนี้ต้องวิชา Social Science) เอาแค่สามตัวหลักๆ นี้ก่อนน่ะครับ ค่อยๆเรียน ค่อยๆ ซึมเข้าไป ส่วนลิ้งค์ที่ผมจะแนะนำมีดังนี้น่ะครับ

วิชา Math - http://www.youtube.com/user/yourteachermathhelp ฟังครูเขาสอนเลขอย่างง่ายๆน่ะครับ

วิชา Science และ Social Science ไปเวปนี้เลยครับ http://www.learner.org มีวิดีโอแบบในชั้นเรียนก็มี หรือเป็นวิดีโอ presentation ดูๆ ฟังๆให้เข้าหูน่ะครับ เลือก ดูของระดับเด็กเล็กๆก่อนน่ะครับเนื่องจากจะฟังได้ง่ายกว่า ฟังไป

หรือ จะเอาแบบเป็นตัวหนังสือให้อ่านก่อนน่ะครับ ไปที่ลิ้งค์นี้ได้ http://www.sciencewithme.com หากท่านผู้อ่านยังไม่สามารถฟัง ภาษาอังกฤษแล้วเข้าใจได้ทั้งหมด นั้น เหตุผลง่ายๆครับ ท่านผู้อ่านต้องอ่านผ่านตา หรือได้ยินคนพูดมาก่อน หลายๆครั้งจนท่านผู้อ่านไปศึกษาหาความหมายมา และได้เข้าใจว่า อ้อ ที่ได้ยินคนเขาพูดกันแปลว่าเช่นนี้นี่เอง

ผมเองเข้าใจภาษาอังกฤษได้มากน้อยแล้วแต่ประเภทของหนัง แนววิทยาศาสตร์ปล่อยแสงยิงจรวด คุยกันเรื่องเครื่องยนต์ ผมดับสนิท แต่ถ้าเรื่องในชิวิตประจำวันผมเข้าใจได้มากพอสมควรโดยที่ไม่ต้องอ่านคำแปลข้างล่าง อาจารย์ชาวอเมริกันท่านหนึ่งที่ผมเคยได้คุย ท่านเองก็บอกว่า ชาวอเมริกันบางคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ก็ฟังภาษาอังกฤษในระดับที่นอกเหนือจากในชีวิตประจำวันออกบ้างไม่ออกบ้าง

ภาษาอังกฤษเรียนเป็นคำศัพท์ ภาษาไทยใช้การผสมคำเอา เลยทำให้การเดาความหมายนั้นไม่ยาก ในขณะที่ภาษาอังกฤษ หากไม่มีการเรียนการศึกษาแล้ว จะทำให้ไม่สามารถใช้คำ หรือเข้าใจความหมายของคำนั้นๆได้ เพราะคำศัพท์ในภาษาอังกฤษส่วนมากเป็นการบัญญัติขึ้นมา และจะต้องได้รับการเรียนรู้จากการศึกษาในระบบของโรงเรียนเป็นการช่วยเหลือ
ในวันนี้ขอเท่านี้ก่อนน่ะครับ เดี๋ยวไว้มาต่อใหม่………..


เนื้อหาทั้งหมดของบทความ พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา
ตอนที่ 1 :    ให้ทุกคนคิดว่าตัวเองเป็นเด็กฝรั่งที่กำลังเริ่มหัดพูด หัดอ่าน หัดเขียน
ตอนที่ 2 :    อุปกรณ์และขั้นตอนในการเรียน(ด้วยตัวเอง)
ตอนที่ 3 :    การพูดอ่านและเขียนมีหลักการเดียวกัน 
ตอนที่ 4 :    การหาวัตถุดิบ(หนังสือ อินเตอร์เน็ต คน และแรงบันดาลใจ)
ตอนที่ 5 :    การหาวัตถุดิบ หรือ Input(2)
ตอนที่ 6 :    รู้จักการเลียนแบบน้ำเสียง แล้วนำไปใช้
ตอนที่ 7 :    สิ่งที่ควรรู้ในการเรียนภาษาอังกฤษ
ตอนที่ 8 :    มาต่อที่เรื่องของวัตถุดิบ หรือ Input(3)
ตอนที่ 9 :    ยังคงอยู่ที่เรื่องของวัตถุดิบ หรือ Input(4)
ตอนที่ 10 :  ประสบการณ์การทดลองส่วนตัวในการเรียนภาษาอังกฤษ



ติดตามตอนต่อไป คลิ๊กที่นี่ค่ะ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น