พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา ตอนที่ 9 : มาต่อที่เรื่องของวัตถุดิบ หรือ Input(4)

ตอนที่ 9 :    มาต่อที่เรื่องของวัตถุดิบ หรือ Input(4)
เนื้อหาทั้งหมดนี้เรานำมาจากบทความของคุณ คนบ้านเดียวกัน บนเว็บ www.pantip.com
ลิงค์บทความ : http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10586407/K10586407.html
ต้องขอขอบคุณคุณ "คนบ้านเดียวกัน" จริงๆที่นำบทความดีๆแบบนี้มาแบ่งปันค่ะ


สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ในตอนนี้ที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้นั้น ผมจะยังคงอยู่ที่เรื่องของ Input น่ะครับ แต่ก่อนที่ผมลงไปในรายละเอียอดอีกนั้น ผมขอย้ำให้ท่านผู้อ่านนั้นจะต้องพึงระลึกไว้ตลอดระหว่างเวลาการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองก่อนน่ะครับว่า ทุกๆอย่างนั้นจะต้องอาศัยเวลาและความเอาใจใส่



ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยท้อและหยุดที่จะพยายามหลายต่อหลายครั้ง เพราะคิดว่าศึกษาไปเท่าไหร่ก็ไม่เห็นจะพูดได้คล่องและเร็วสักที ผมเองเป็นคนหนึ่งที่มักจะชอบอะไรที่มันเร่งรัดและรวดเร็ว เห็นโฆษณาอะไรที่ทำแล้วได้ผลเลยและเร็วนั้น จะได้รับความสนใจจากผมเป็นอย่างมาก ด้วยความที่ผมมักจะเลือกเอาแต่ความสบายนั้นทำให้ หลายๆครั้งที่ความท้อมักจะเข้ามาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ โดยที่ผมเองนั้นก็ไม่ได้คิดว่า ทุกอย่างล้วนต้องอาศัยเวลา จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่ความยากง่ายของสิ่งที่เราศึกษา แต่ผลที่ตามมานั้นย่อมเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด


ผมจึงขอแนะนำว่าท่านผู้อ่านหากเหนื่อย หรือเริ่มมีอาการตัน อ่านไม่เข้า ศัพท์จำไม่ได้ ให้วางหนังสือก่อนน่ะครับแล้วไปทำอย่างอื่น ปล่อยให้จิตใจสบายแล้วจึงมาอ่านใหม่อีกรอบ ศึกษาภาษาอังกฤษหรืออะไรก็ตามในขณะที่จิตใจเบิกบาน ไม่ขุ่นมัว จะทำให้การรับรู้เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว เหมือนเด็ก เล็กๆน่ะครับ ที่สามารถเรียนและรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะพวกเขานั้นไม่มีเรื่องที่จะต้องเป็นทุกข์หรือกังวลใจ เปรีบเสมือนคอมพิวเตอร์เปล่าๆ ที่รอให้เจ้าของนั้นนำโปรแกรมมาใส่นั้นเอง


ผมหวังว่าทุกท่านนั้นจะได้รับความรู้จาก บทละคร ที่ผมนำมาให้ไม่มากก็น้อยน่ะครับ เป็นบทที่อ่านง่าย เนื้อเรื่องเดินเร็ว แถมเนื้อหาน้ำเน่าไม่แพ้ ดอกส้มสีทอง อ่านไปเรื่อยๆแล้วจะทราบเรื่องเองครับ บทละครนี้มีอีกยาวผมเองยังอ่านไม่จบครบทั้งหมดที่ผมนั้นนำมาให้ผู้อ่านได้เห็นกัน ผมเก็บไว้เป็นคู่มือประจำตัวอยู่พักนึง สมัยตอนที่ทำงานใหม่ๆจะต้องใช้ภาษาอังกฤษในที่ทำงาน จะอ่านซ้ำไปมาหลายรอบก่อนนอน ได้นำประโยคที่ได้เห็น ได้อ่านผ่านตามาใช้บ้าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษนานแล้วๆ ผมก็จะหยิบมาอ่านเพิ่อสร้างคุ้นเคยให้กับสมองเอาไว้ก่อน


และเมื่อไม่นานมานี่ ผมได้เจ อ English Speaking Club ซึ่งเป็นชมรมพูดภาษาอังกฤษ ผ่านทาง Facebook โดยบังเอิญ ที่นี่ผมเองก็ไม่ได้เป็นสมาชิกแต่อย่างใด แต่จากที่ดูๆคร่าวๆ ผมเข้าใจว่ากลุ่มดังกล่าวนี้ได้มีการจัดกิจกรรม ให้กับผู้ที่ต้องการฝึกการใช้ภาษาอังกฤษให้ได้มีโอกาสพูดกัน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน หากท่านผู้อ่านมีโอกาสให้ พิมพ์คำว่า English Speaking Club ไปบนตรงช่อง Search ด้านบนของ Facebook น่ะครับ ที่นี่ลองเข้าไปดูกิจกรรมและรายละเอียดชมรมก่อนน่ะครับ ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาจัดกันบ่อยแค่ไหน แต่ยังไงผมว่าเป็นโอกาสที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านเป็นอย่างมาก


กลับมาที่เรื่อง Input น่ะครับ ในตอนนี้ผมจะขอให้ท่านผู้อ่าน ปฎิบัติตามกระบวนการเดิมที่ผมเคยได้วางไว้ ในเรื่องของการเรียนรู้ด้วยการอ่าน Diary ของฝรั่งเขา ส่วนในตอนนี้ผมจะขอเน้นไปที่การใช้ภาษาตามโดยยึดตามบุคคลิกและลักษณะนิสัยของ ท่านผู้อ่านเป็นสำคัญ ส่วนเหตุผลนั้น ประการแรกผมไม่ต้องการให้ท่านผู้อ่านใช้เวลาในแต่ละวันอ่านทุกอย่างหรือใส่ใจกับทุกสิ่งอย่างรอบตัวเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เพราะการกระทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการสร้างความกดดันให้กับตัวผู้อ่านเอง หากอยจู่ๆมาวันหนึ่งท่านผู้อ่านเกิดจะอยากขยันอ่านภาษาอังกฤษมากๆ ขึ้นมา และได้ซื้อ Bangkok Post มาฉบับหนึ่งก่อนที่จะลุยอ่าน โดยไม่ได้คำนึงถึงเนื้อหาแต่อย่างใด เพียงแต่อ่านเพราะคิดว่าขอให้เป็นอะไรก็ได้ที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษก็พอ ฉันอ่านได้หมด การเริ่มต้นในรูปแบบดังกล่าวนี้รังแต่จะบั่นทอนให้ความเพียรพยายามอุตสาหะของทานผู้อ่าน ลดลงไปเรื่อยๆเท่านั้น บุคคลใดๆที่ไม่ชอบเรื่องการเมืองอยู่แล้วเป็นการส่วนตัว จะหยิบหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษแล้วเริ่มอ่านบทความที่เกี่ยวกับการเมือง เพียงเพราะภาษาที่ใช่เขียนเป็นภาษาอังกฤษอย่างเดียวนั้น ไม่ได้อย่างยิ่ง ท่านผู้อ่านจะต้องมีความชอบพอในสิ่งที่ท่านผู้อ่านจะเลือกอ่าน เลือกที่จะรับฟังหรือพูดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก่อนที่ท่านผู้อ่านจะนำมาปฎิบัติโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางในการเรียนรู้ทั้งหมด


หากท่านผู้อ่านชอบเรื่องรถยนต์ ท่านผู้อ่านก็สามารถเรียนภาษาอังกฤษผ่าน ทางบทความ เกี่ยวกับรถยนต์ ฟังฝรั่งพูด เกี่ยวกับ รถยนต์บน Youtube เป็นต้น สุภาพสตรีหรือบุรุษท่านใดที่ชอบแฟชั่นการแต่งตัว การออกกำลังกาย เรื่องความสวยความงาม นั้น ก็ควรที่จะศึกษาภาษาอังกฤษผ่านความสนใจของท่านผู้อ่านในเรื่องนั้นๆ ท่านผู้อ่านใช้เวลาสักน้อยนิดศึกษาบุคลลิกและนิสัยของท่านผู้อ่าน ดูก่อนว่า ท่านผู้อ่านเป็นคนที่ ความสนใจในเรื่องใด เป็นคนที่มีปฎิกิริยาต่อคนรอบข้างแบบใด จนได้เป็น คอนเซปต์ของท่านผู้อ่านเองแล้ว ดังนั้นท่านผู้อ่านจึงค่อยๆ แบ่งแยกคุณลักษณะของตัวท่านเอง ออกเป็นหัวข้อย่อยๆได้ดังตามที่ผมจะยกตัวอย่างให้ต่อไปนี้
(1.) เป็นคนชอบโวยวาย ตกใจง่าย  --  ท่านผู้อ่านก็ไปศึกษาดูว่าคำอุทานภาษาอังกฤษมีอะไรบ้าง นอกจาก OMG แล้วมีอะไรบ้าง เช่น Holy cow, holy smoke ๆลๆ
(2.) เป็นคนชอบพูดถึงเรื่องการมีแฟน -- ประมาณว่าคนนั้นเป็นกับคนนี้ คนนั้นเลิกแล้วกับคนนู้นเป็นต้น บทละครวิทยุที่ผมให้ไปแล้วนั้นมีเนื้อหา ค่อนข้างจะหนักไปในเรื่องนี้พอสมควร
(3.) เป็นคนชอบถามขี้สงสัย  --  ท่านผู้อ่านอาจจะฝึกการตั้งคำถามจากสิ่งรอบตัวที่เราได้เห็น
(4.) เป็นพ่อแม่ที่เป็นห่วงลูก --  ท่านผู้อ่าน สามารถเข้าไปอ่านในเวปไซต์ที่เกี่ยวกับการดูแลลูก ซึ่งก็มีเป็นจำนวนมากในภาษาอังกฤษ
(5.) เป็นคนชอบเถียง  --  อุปลักษณะนิสัยดังกล่าวนี้ต้องอาศัยไหวพริบพอสมควร และหากจะต้องมีการโต้เถียงเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ท่านผู้อ่านอาจจะต้องศึกษาจิตวิทยาคน เป็นภาษาอังกฤษเสียก่อนเอาแบบพื้นๆน่ะครับเช่น  Body Language  หรือ  How to influence people and friends เป็นต้น ซีรี่ย์ของจากอเมริกาเองนั้น สมัยนี้มักจะเน้นไปที่ความขัดแย้งของตัวละครเยอะ และอิงจากเห็นการความเป็นจริงของโลกในยุคปัจจุบัน โดยในแต่ละคนนั้นมักจะแฝงไปด้วยข้อคิดต่างๆนานๆ ซึ่งผมดูแล้วได้ประโยชน์อย่างมาก


“สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียน Input ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ท่านผู้อ่านจะต้อง อ่าน และฟัง พร้อมๆไปกับการศึกษาโครงสร้างประโยค จนสามารถนำไปเลียนแบบและไปพูด (output) ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เอง”


ถึงทุกวันนี้ผมก็ยังทำแบบนี้อยู่เช่นเดียวกัน ผมเองยังได้นำหลักการบางอย่าง จากเวป www.antimoon.com มาใช้ ผมเคยตัดสินใจที่จะพูดภาษาอังกฤษกับเพื่อนล้วนๆ มาแล้ว ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไปน่ะครับ




สำหรับผู้ที่ต้องการ บทละคร 400 หน้า ในตอนนี้ คุณ kanurak1  ได้นำมา share ไว้แล้วน่ะครับที่ http://www.mediafire.com/?c5qgub8bzeeu4ez     ต้องขอขอบคุณอีกมากๆ เลยน่ะครับ




My anecdote
Before I sign off tonight, I just want to give a few words of encouragement. Nothing is impossible if you put your heart into it. I started off by reading Bangkok Post when I was still a Mor 4 student. In the middle school, I did really well in English but it was only because it was simply a rote lesson and I went home every night trying to memorize every word I learnt from the book and came to school the next day and beat the whole class.


I scored the highest in our English class during the dictation test. But you know how bad I was when it came to writing? I sucked at it. I could not write properly. Composing a complex sentence was already a gruesome task. As for my speaking, I did not know how terrible I was until I got to have a few conversations with an exchange student from the United States. I could not carry the conversation beyond what was taught in an English class which was merely how to say “hi” “how are you” “I’m fine, thank you and you”.


When I tried to talk about other things, I found myself struggling for words even though I had probably had about 400 English words in my memory at my disposal. But none of them came in handy at the time. Then I realized what I lacked. I did know enough English expressions. If I m not wrong, the Thai education system has taught us from the very young age the grammar rules.


If you are 24 years old or older, you should have learnt by now everything there is to know about English grammar. But if your answer is no, It is not your fault either. While I was developing my own approach, I also kept a personal journal in English. I did it for months until I got bored and moved on to reading the movie scripts. Writing your own diary is a good way to keep your vocabulary fresh and build a new set of words in your memory. Even to these days, my approach has never changed. I m still doing exactly what I have said in the earlier posts and I m getting better at it.



เนื้อหาทั้งหมดของบทความ พูดภาษาอังกฤษให้ดี แนวจิตวิทยา
ตอนที่ 1 :    ให้ทุกคนคิดว่าตัวเองเป็นเด็กฝรั่งที่กำลังเริ่มหัดพูด หัดอ่าน หัดเขียน
ตอนที่ 2 :    อุปกรณ์และขั้นตอนในการเรียน(ด้วยตัวเอง)
ตอนที่ 3 :    การพูดอ่านและเขียนมีหลักการเดียวกัน 
ตอนที่ 4 :    การหาวัตถุดิบ(หนังสือ อินเตอร์เน็ต คน และแรงบันดาลใจ)
ตอนที่ 5 :    การหาวัตถุดิบ หรือ Input(2)
ตอนที่ 6 :    รู้จักการเลียนแบบน้ำเสียง แล้วนำไปใช้
ตอนที่ 7 :    สิ่งที่ควรรู้ในการเรียนภาษาอังกฤษ
ตอนที่ 8 :    มาต่อที่เรื่องของวัตถุดิบ หรือ Input(3)
ตอนที่ 9 :    ยังคงอยู่ที่เรื่องของวัตถุดิบ หรือ Input(4)
ตอนที่ 10 :  ประสบการณ์การทดลองส่วนตัวในการเรียนภาษาอังกฤษ


ติดตามตอนต่อไป คลิ๊กที่นี่ค่ะ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น